วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อ่าน เปลี่ยนชีวิต

อ่าน เปลี่ยนชีวิต


ตอนเกิดมาพ่อกับแม่ฉันปลาบปลื้มที่สุด แม่พ่อจะดีใจมากกว่านี้ไหม ถ้าหากรู้ว่าฉันเกิดวันเดียวกับกับบุคคลสำคัญอันเลืองนามทั้ง ไทย จีนฝรั่ง ที่เราๆ เพื่อนๆ ต่างก็รู้จักกันดีทั้ง จิตร ภูมิศักดิ์ นักประวัติศาสตร์ นักคิด นักเขียนคนสำคัญของไทย หรือเฉียนหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิเจ้าสำราญแห่งแผ่นดินจีน และวิลเลียม ฟอล์คเนอร์ นักเขียนนวนิยายนามอุโฆต ผู้มีรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม 1946 เป็นประกันคุณภาพ ทั้ง 3 ท่าน รวมถึงตัวฉันเองเกิดมาบนโลกใบเดียวกัน แต่ต่างแผ่นดินถิ่นที่เกิดเพียงเท่านั้น นั้นคือ วันที่ 25 กันยายน (ฉันเกิดปี พ.ศ. 2535)

เฉียนหลงฮ่องเต้
เกิดมาวันนี้วันดีแน่นอน(จริงๆ เกิดวันไหนๆ ก็ดีหมด)พ่อแม่ดีใจมาก เมื่อคลอดออกมาแล้ว มีตัวแต่ไม่มีชื่อก็กระไรอยู่จึงต้องมีชื่อด้วยนี้คือหนึ่งสิ่งที่พ่อกับแม่มิได้ตระเตรียมชื่อลูกน้อยของตนมาแต่ตน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรมากนักเพราะปู่ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และมีความหมายดีเสียด้วยดีเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 20 ทุกคนในครอบครัวก็ยังรักฉันไม่แปรเปลี่ยนสมชื่อตัวทีเดียว“กันตพงศ์”มีความหมายที่อบอุ่นที่ตนนั้นมีเผ่าพันธุ์เป็นที่รัก

เมื่ออายุยังน้อยจำเป็นที่ต้องเร่งศึกษา เด็กๆ เองไม่ได้คิดอันใดเลยว่า“การอ่าน” นั้นดีอย่างไร เพราะเด็กอยู่ก็เพลินที่จะเล่นซุกซนสนุกสนานตามภาษาจนครูต้องวิ่งตามมาว่ามาตีเสียยกใหญ่ ตอนนั้นยังเด็กมากเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่ภูมิไพโรจน์พิทยาโรงเรียนเอกชนใกล์บ้าน โดนตีที่โรงเรียนแล้วยังกลับมาโดนตีที่บ้านอีกเพราะครูมารายงานให้ปู่ฟัง จนมาพบกับพี่คนหนึ่งซึ่งใจดีมาก ไม่ขอบอกว่าเป็นใคร แต่เป็นญาติกันเท่านั้น ชอบอ่านหนังสือมาก ฉันไม่เข้าใจว่าอ่านไปทำไม เมื่ออยากรู้ก็ถามเขาว่าได้อะไรไม่เข้าใจก็ถามถามเอา ถามมากเข้า เขาก็ให้ไปหาอ่านเอง ถามนิดๆ หน่อยๆ ไม่ยอมตอบ มีตัวอย่างจึงทำตาม ฉันจึงต้องอ่านเอาเอง นานเข้าติดใจอ่านจนตาแฉะ แต่ผลที่ออกมาทั้งวิชาภาษาไทยและประวัติศาสตร์ดีมากจนไม่น่าเชื่อเลย


ไม่นานเท่าไรฉันเองได้เรียนมัธยมซะแล้วในโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัยโรงเรียนใหญ่ย่านสายไหมที่ไกลห่างออกจากบ้านไป ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือทุกวัน(ตอนกลับก็นั่ง) การอ่านก็ยังมีอิทธิพลต่อชีวิตอยู่มาก และมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนโรงเรียนใหญ่ย่อมมีห้องสมุดใหญ่ตาม และหนังสือก็มากตามด้วยยิ่งทำให้ฉันอ่านหนังสือมากตามขนาดห้องสมุดไปด้วย ในสัปดาห์หนึ่งๆ ต้องมีหนังสือกลับมาอ่านที่บ้านเป็นประจำไม่ขาด นอกจากที่จะซื้อมาอ่านเองตอนนั่งรถกลับบ้านด้วย ว่างเมื่อไรเป็นต้องอ่าน ต้องเข้าห้องสมุดให้ได้เมื่อว่างหรือก่อนกลับบ้าน เรียนวิชาอะไรที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือภาษาไทยทำได้ดีเสมอ ครูถามอะไรมาตอบได้หมดอย่างกับอับดุลเลยทีเดียว ไม่เชื่อไปถามเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาว่าฉันชอบอ่านหนังสือจริงหรือไม่ก็ได้
ฤทธิยะวรรณาลัย


ไม่เคยคิดเลยว่าจะเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายสายคณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ เพราะตัวเองอ่อนแอทางด้านภาษาอังกฤษ แต่ก็สอบผ่านมาได้ คณิตศาสตร์นี่ง่ายมาก แต่อย่ามาถามตอนนี้ให้ครูเขาไปเกือบๆ จะหมดแล้ว เริ่มคิดแล้วว่า“ที่อ่านมาเนี่ยเอาอ่านมาตั้งเยอะแยะมากมายจะเอาไปใช้ทำอะไร”จริงๆ ต้องคิดได้แล้วจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่กี่ปีข้างหน้า“ครู”ทำไมถึงอยากเป็นครู อะไรมาจุดประกายหรือมาสะดุดใจให้อยากเป็นครู นั่งคิดอยู่นานสองนานตีสองกว่าๆ แล้วก็ร้อง “อ๋อ”ขึ้นมาคิดได้ว่าคืนวันเสาร์ ห้าทุ่ม ได้รับชมรายการสารคดี“มรสุมแดนมังกร”ทางสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส เกี่ยวกับปัญหาของเมืองจีนที่มากมายหนึ่งในปัญหาคือการศึกษา เด็กที่ขาดแคลนทำอย่างไรที่จะได้เรียนต่อ น่าสงสารมาก เริ่มต้นด้วยเรื่องราวโดยนักศึกษาจีนคนหนึ่งจากมหานครเซียงไฮ้ชอบอ่านหนังสือมากไปทำงานอาสาพัฒนาชุมชุนชนบทเป็นครูสอนหนังสือในชุมชนนั้นๆ ต้องพบเจอปัญหาอุปสรรคนานาประการของนักเรียน ที่เธอไม่เคยคิดว่าจะพบเจอถึงกับหลั่งน้ำตา ฉันชมแล้วประทับใจมาก กระตุ้นเตือนให้ฉันคิดว่า“ครู”เป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่สามารถทำความปรารถนาของคนทั้งชาติให้เป็นจริงได้มากน้อยก็ตามแต่ก็ทำได้ นั้นคือให้คนทั้งชาติมีความรู้ อันความรู้นั้นจะนำพาชาติไปสู่ความเจริญได้
เด็กๆ ชาวจีนเคร่งเครียดอยู่กับตำราเรียน

 “จะโกงอะไรก็โกงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่โกงฉันไปไม่ได้นั้นคือความรู้ที่ฉันมี”ทับทิมในสองฝั่งคลองของผู้ประพันธ์ ว.วินิจฉัยกุล ทำให้ฉันตระหนักและเข้าใจการศึกษา และการอ่านเป็นอย่างดี ยิ่งเราอ่านเยอะ เรียนเยอะต้องยิ่งขวนขวายที่จะควรมีความรู้ให้มาก

ในภาวะบ้านเมืองแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีคนพูดจากระทบกระเทียบไปมา ฉันรู้สึกเสียใจมากที่มีคนพูดว่า“ประเทศเรานี้แย่ ประชาธิปไตยจะเจริญได้อย่างไร ในเมื่อคนส่วนใหญ่ในประเทศยังโง่”ฉันชอบอ่านหนังสือ ชอบคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านมักจะสอนให้เห็นความจริงในการใช้ชีวิตเสมอ ไม่คิดว่าคนเราจะดูถูกสติปัญญาคนอื่นได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ หากมีคนมาถามให้ฉันเลือกข้างว่าจะอยู่กับคนโง่หรือจะเข้าคนฉลาด ฉันจะตอบเลยโดยไม่คิดว่า ต้องอยู่ข้างคนส่วนใหญ่ที่โง่ เพราะอะไรนะหรอ เหตุผลง่ายๆ ฉันเป็นครู ครูสอนคนให้มีความรู้ คนไม่ว่าโง่หรือฉลาดต้องมีความรู้ เมื่อมีความรู้แล้ว เราไม่คิดที่จะระรานดูถูกสติปัญญาใครเช่นนี้เด็ดขาด ไม่มีสูงต่ำของคนในสังคม ทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เมื่อทุกคนมีความรู้จะไม่มีใครมาดูถูกกัน บ้านเมืองเราคงเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที

ก่อนจากขอทิ้งท้ายด้วยคำคมเกี่ยวกับอ่านของนักมนุษย์ศาสตร์ชาวอเมริกัน  Mortimer Jerome Adler
Reading is a basic tool in the living of a good life” การอ่านเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตที่ดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น